บูลลี่ คือ พฤติกรรมรุนแรง กลั่นแกล้ง รังแกผู้อื่นทั้งทางวาจาและร่างกาย หากเกิดในชีวิตจริงมักเป็นการล้อเลียนรูปร่างหน้าตา สถานะทางสังคม รวมถึงการทำร้ายร่างกาย ส่วนโลกออนไลน์ส่วนใหญ่เกิดจากการประจานกันทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งหลายครั้งการบูลลี่สร้างผลกระทบทางด้านความรู้สึกมากมายจนอาจเกิดเป็นแผลทางใจฝังลึกจนยากเยียวยา หรืออาจลุกลามไปจนเกิดการปะทะและสร้างบาดแผลทางกายได้
โดยสามารถจำแนกการบูลลี่ได้ ดังนี้ บูลลี่ทางร่างกาย บูลลี่ทางวาจา บูลลี่ทางสังคม
การรู้จักรับมือกับการบูลลี่อาจช่วยหลีกเลี่ยงบาดแผลทั้งทางกาย ใจ และสังคม ดังนี้ใช้ความนิ่งสยบการบูลลี่ ตอบโต้อย่างสุภาพ พูดคุยกับเพื่อนร่วมชะตากรรมเพื่อช่วยกันแก้ไข ปรึกษานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์
เราต่างเกิดมาและมีชีวิตในช่วงเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า การบูลลี่ที่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นด้วยการเผชิญหน้าเท่านั้น วันหนึ่งเราอาจตกเป็นเหยื่อการบูลลี่ทางโซเชียลจากผู้ที่ไม่เคยรู้จักกันเลย หรืออาจตกเป็นเหยื่อร่วมกระทำการบูลลี่บุคคลอื่น แม้กระทั่งเป็นผู้เริ่มบูลลี่โดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น ไม่ว่าการกระทำใดๆ ที่ก่อให้บุคคลอื่นรู้สึกด้อยค่า ย่ำแย่ อับอาย เสื่อมเสีย ลองถอยออกมาสักก้าว หายใจเข้าออกอีกหลายๆ ครั้ง ก่อนลงมือแชร์ กดไลค์ หรือเขียน พูดออกไป เพราะสิ่งเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว แม้เราจะลบออกสักกี่ครั้ง ก็ยังฝังในจิตใจของผู้ถูกกระทำเสมอ ในทางกลับกัน หากต้องเผชิญปัญหาในฐานะเหยื่อของการ บูลลี่ ควรตั้งรับอย่างมีสติ เงียบเฉยบ้าง ตอบโต้ ชี้แจงให้ถูกจังหวะ ไม่คิดแค้น เครียด หรือวิตกกังวลเกินไป รวมถึงเลือกที่จะใช้ชีวิตในสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี เหมาะสมกับตัวเอง ปิดรับเรื่องราวทางโซเชียลบ้าง และข้อสำคัญ หากหาทางออกไม่ได้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม
ในยุคดิจิทัล การเผยแพร่ข้อมูลทำได้ง่าย ผู้เผยแพร่ข้อมูลต้องมีความรับผิดชอบ ดังนี้
1. “Think Before You Share” – สอนให้เด็กๆ ตระหนักถึงการไตร่ตรองก่อนจะเผยแพร่ข้อมูลใดๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจริงหรือข่าวลือ เพื่อป้องกันการสร้างความเข้าใจผิดและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้อื่น
2. “Digital Footprint” – สอนให้รู้ว่า ทุกสิ่งที่เราทำในโลกออนไลน์จะทิ้งร่องรอยไว้เสมอ การเผยแพร่ข้อมูลควรระมัดระวังเพราะอาจส่งผลยาวนาน
3. “Verify Before You Trust” – เน้นให้เด็กตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือก่อนที่จะแชร์ออกไป เพื่อไม่ให้เป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลเท็จโดยไม่ตั้งใจ
4. “Online Empathy” – สร้างความเข้าใจว่าข้อมูลที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์สามารถมีผลต่อความรู้สึกและชีวิตของคนอื่น การแชร์ควรทำด้วยความเห็นอกเห็นใจ
การเผยแพร่ข้อมูลบนโซเชียลมีเดียในปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของหลายๆ คน แต่การเผยแพร่ข้อมูลเหล่านั้นโดยขาดความรับผิดชอบอาจนำไปสู่ผลเสียในหลายๆ ด้านที่สามารถส่งผลกระทบทั้งต่อบุคคลและสังคมโดยรวม ดังนี้
1. การแพร่กระจายข้อมูลเท็จ (Fake News) และข่าวลวง
2. การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
3. การกระตุ้นความเกลียดชังและการแบ่งแยก
4. การทำลายความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล
5. การกระทบต่อสุขภาพจิต
6. ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในสังคม
การเคารพในผลงานของผู้อื่นเป็นพื้นฐานสำคัญของการใช้ความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ในสังคมยุคดิจิทัล
1. “สร้างสรรค์ได้ แต่อย่าคัดลอก” การสร้างงานจากความคิดของตัวเองมีคุณค่า และการคัดลอกหรือนำผลงานของผู้อื่นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการละเมิดสิทธิ์
2. “ทุกงานมีเจ้าของ” ทุกผลงาน ไม่ว่าจะเป็นภาพ เพลง หรือข้อความบนอินเทอร์เน็ต ล้วนมีเจ้าของที่สร้างสรรค์ขึ้นมา และเจ้าของมีสิทธิ์ในผลงานนั้น
3. “แบ่งปันอย่างถูกต้อง” เราสามารถใช้ผลงานของผู้อื่นได้ แต่ต้องขออนุญาตหรือให้เครดิตเสมอ
4. “จงเป็นผู้สร้าง ไม่ใช่ผู้ละเมิด” การคิดสร้างสรรค์ผลงานของตนเอง และเป็นผู้สร้างสรรค์ที่เคารพในทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น
ด้านความรู้
กำหนดเนื้อหาที่ใช้นำเสนอเรื่อง การหลอกลวงออนไลน์ การบูลลี่ การเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ และทรัพย์สินทางปัญญาได้
ด้านทักษะกระบวนการ
ทำงานร่วมกัน ในการนำเสนอความรู้เชิญชวนให้ไม่กระทำผิดกฎหมายและยกตัวอย่างบทลงโทษในรูปแบบที่สร้างสรรค์
ด้านคุณลักษณะ
ตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามกฎหมาย
วิธีการ
- ตั้งคำถามนำและให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย
เครื่องมือ
- คำถามนำ
- แบบประเมินการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 45
เกณฑ์การวัด
- นักเรียนตอบคำถามถูกต้องมากกว่าร้อยละ 60